ในโลกของการตลาดยุคใหม่ เราได้ยินคำว่า "Differentiation" หรือการสร้างความแตกต่างกันบ่อยๆ จนหลายคนเชื่อว่า นี่คือกุญแจสำคัญที่จะนำแบรนด์และสินค้าไปสู่ความสำเร็จ ก็แน่นอนว่าในยุคที่การแข่งขันรุนแรงขนาดนี้ หากเราไม่สามารถทำให้แบรนด์ของเราโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งได้ ก็ยากที่จะครองใจและครองตลาดได้อย่างยั่งยืน
แต่ปัญหาคือ หลายแบรนด์ลงทุนแรงกายแรงใจเพื่อสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาล มีฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร มีเรื่องราวที่โดดเด่น มีภาพลักษณ์ที่โดนเด่นชัดเจน แต่สุดท้าย... ก็ยังขายไม่ได้ดั่งใจอยู่ดี เพราะอะไรกัน? มาไขข้อข้องใจและแกะรอยกันว่า ทำไมการสร้างความแตกต่างเพียงอย่างเดียว อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณขายได้อย่างถล่มทลายเสมอไป
1. ความแตกต่างต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากได้
ก่อนจะสร้างความแตกต่าง ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนเลยว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือเปล่า? มันตอบโจทย์ความปวดร้าว (Pain Point) หรือความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาหรือไม่? อย่างเช่น ถ้าเราขายยาสีฟัน การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้าไป เช่น รสทุเรียน หรือรสหมูย่าง อาจทำให้เราโดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ก็จริง แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของคนที่แค่อยากจะแปรงฟันให้สะอาดและมีกลิ่นหอมสดชื่นเท่านั้น ซึ่งความแตกต่างแบบนี้อาจไม่ช่วยอะไรให้ขายดีขึ้นเลย
2. ความแตกต่างที่ขัดแย้งกับความคาดหวังพื้นฐาน
บางความแตกต่าง อาจดูเจ๋งและล้ำสมัยดี แต่กลับไปขัดแย้งกับความคาดหวังพื้นฐานที่ลูกค้ามีต่อสินค้าประเภทนั้นๆ อย่างเช่น ถ้าเราขายไอศกรีม แต่โฆษณาว่าไอศกรีมของเราไม่ต้องแช่เย็น กินได้ในอุณหภูมิห้อง แม้จะฟังดูแตกต่างและเป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยังคาดหวังที่จะกินไอศกรีมเย็นๆ เพราะนั่นคือสิ่งพื้นฐานของขนมประเภทนี้ ซึ่งถ้าเราทำลายความคาดหวังนั้นไป แทนที่จะได้ลูกค้าเพิ่ม กลับอาจเสียลูกค้าไปเลยก็เป็นได้
3. ความแตกต่างที่ไม่ได้ถูกสื่อสารออกไปอย่างชัดเจน
หลายครั้ง แบรนด์ลงทุนสร้างความแตกต่างอย่างมากมาย ทั้งผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเทคโนโลยีที่เหนือชั้น แต่กลับไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น หรือสื่อสารออกไปให้ลูกค้ารู้เท่าที่ควร ทำให้ลูกค้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่แบรนด์นำเสนอ ผลที่ได้คือถึงจะแตกต่างแค่ไหน แต่ลูกค้าก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้อยากซื้อมากไปกว่าเดิม เพราะไม่เห็นคุณค่าที่ชัดเจนนั่นเอง
4. ความแตกต่างที่คู่แข่งก็ทำตามได้ง่าย
การสร้างความแตกต่างที่ดี ควรจะต้องเป็นความแตกต่างที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ ไม่งั้นเราลงทุนคิดค้นอะไรใหม่ๆ ออกมา พอขายดีปุ๊บ คู่แข่งก็จะรีบทำตามทันที ความพิเศษของเราก็จะหายไป กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย อย่างเช่นแค่การปรับเปลี่ยนดีไซน์หรือเพิ่มสีใหม่ๆ ให้ดูทันสมัย หรือการใส่ฟีเจอร์เสริมง่ายๆ เข้าไป ก็เป็นสิ่งที่คู่แข่งทำตามได้ไม่ยาก ซึ่งความแตกต่างแบบนี้มีแต่จะทำให้ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ไม่ได้สร้าง Competitive Advantage ที่ยั่งยืนให้กับแบรนด์เท่าไรนัก
5. ความแตกต่างที่ไม่ได้มาพร้อมกับคุณภาพที่คาดหวัง
จุดนี้สำคัญมาก เพราะลูกค้ายุคนี้ไม่ได้ต้องการความแตกต่างเพียวๆ แต่พวกเขาต้องการสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ด้วย พูดง่ายๆ คือความแตกต่างต้องมาพร้อมคุณภาพในระดับที่พวกเขาคาดหวังไว้ด้วย ไม่ใช่ขายความแตกต่างอย่างเดียว แต่คุณภาพห่วยแตก เช่น ร้านกาแฟที่บรรยากาศแตกต่างสุดเจ๋ง แต่รสชาติกาแฟแย่มาก หรือแบรนด์รองเท้าที่ดีไซน์เฉียบ แต่ใส่แล้วปวดเท้า คุณภาพไม่ได้เรื่อง สิ่งเหล่านี้จะยิ่งทำให้ลูกค้าผิดหวังและไม่อยากกลับมาซื้ออีก ต่อให้ความแตกต่างจะล้ำแค่ไหนก็ตาม
จะเห็นได้ว่า การสร้างความแตกต่างเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความสำเร็จทางการตลาด เพราะไม่ว่าจะแตกต่างแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้มาพร้อมกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ได้ตอบโจทย์ความคาดหวังของพวกเขา ไม่ได้ถูกสื่อสารให้เห็นคุณค่าที่ชัดเจน ไม่ได้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และที่สำคัญ ไม่ได้มาพร้อมกับคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ ความแตกต่างนั้นก็ไร้ความหมาย ไม่อาจนำพาให้ธุรกิจไปรอดได้ในระยะยาว
ดังนั้น นอกจากจะคิดหาจุดแตกต่างแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ต้องทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงอินไซต์และความต้องการที่แท้จริงของเขา เพื่อนำมาสร้างคุณค่าที่แตกต่างอย่างลงตัว พร้อมกับการส่งมอบคุณภาพที่เหนือความคาดหมาย สื่อสารคุณค่านั้นออกไปให้เป็นที่ประจักษ์ รวมถึงการสร้างความได้เปรียบที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยากด้วย ไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยี ด้วยกระบวนการ หรือแม้แต่ด้วยทีมงานที่เป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นแบรนด์ของเราจึงจะสามารถครองใจลูกค้าและครองตลาดได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความแตกต่างที่มาพร้อมคุณค่าและคุณภาพที่เหนือระดับ จะยังคงเป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจและกลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดที่แบรนด์ทุกแบรนด์ควรมุ่งหวังให้ได้.
Comentarios