ทำไม Speaker ที่เก่งหลายคนอาจจะไม่เหมาะมาทำคลาสเทรนนิ่ง

ในแวดวงการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรมหรือทำคลาสเทรนนิ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ให้กับพนักงาน องค์กรหลายแห่งมักจะเชิญ Speaker ที่มีชื่อเสียงมาทำหน้าที่เป็นวิทยากรในการฝึกอบรม ด้วยความเชื่อว่า Speaker เหล่านั้นจะสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างน่าสนใจและมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริง Speaker ที่เก่งหลายคนอาจจะไม่เหมาะกับงานฝึกอบรม ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. Speaker มักจะเน้นการนำเสนอที่สร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) มากกว่าการถ่ายทอดทักษะ (Skill Transfer)

การฝึกอบรมที่ดีต้องเน้นการฝึกฝนทักษะเชิงปฏิบัติ ซึ่งต้องใช้เวลาและกระบวนการค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ Speaker มักจะเน้นการพูดในระยะสั้นๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาทักษะที่ต้องการ

2. Speaker อาจขาดความเข้าใจบริบทขององค์กร

การฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงบริบทและความต้องการเฉพาะขององค์กร วิทยากรจากภายนอกอาจไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมองค์กร สภาพแวดล้อม และความท้าทายที่พนักงานต้องเผชิญในการทำงาน ทำให้เนื้อหาการฝึกอบรมอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง

3. Speaker อาจไม่มีทักษะในการออกแบบหลักสูตรฝึกอบรม

การออกแบบหลักสูตรเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Adult Learning) การกำหนดวัตถุประสงค์ การจัดลำดับเนื้อหา และการประเมินผล Speaker ที่เก่งในการพูดอาจไม่มีความชำนาญในการออกแบบหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ

4. Speaker อาจขาดทักษะการโค้ชและติดตามผล

การฝึกอบรมที่ดีไม่ได้จบลงแค่ในห้องเรียน แต่ต้องมีการติดตามและโค้ชผู้เข้าอบรมเพื่อให้สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ได้จริง Speaker มักจะเน้นแค่การพูดในห้องเรียน โดยขาดการติดตามผลและการให้คำปรึกษาหลังการอบรม

ดังนั้น ในการเลือกวิทยากรเพื่อทำคลาสเทรนนิ่ง องค์กรควรพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่แค่เลือกจาก Speaker ที่เก่งหรือมีชื่อเสียง แต่ต้องเลือกวิทยากรที่มีความเข้าใจในการออกแบบหลักสูตร เข้าใจบริบทขององค์กร มีประสบการณ์ในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติ รวมถึงมีความสามารถในการโค้ชและติดตามผล นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญของวิทยากรที่จะสร้างคลาสเทรนนิ่งที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้อย่างแท้จริง