การสื่อสารของผู้นำในช่วงวิกฤต: เสาหลักของความเชื่อมั่นและความร่วมมือ
- Nuttaputch Wongreanthong
- 29 มี.ค.
- ยาว 1 นาที

เมื่อวิกฤตเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ—การสื่อสารจากผู้นำไม่ใช่แค่เรื่องของการแจ้งข่าวสาร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “สร้างความมั่นคงทางจิตใจ” ให้กับผู้คน ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความกลัว
ในบริบทของภัยพิบัติ การสื่อสารที่ดีจากผู้นำจะสามารถลดความตื่นตระหนก เสริมความเข้าใจ และกระตุ้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเป็นระบบ โดยการสื่อสารในยามวิกฤตที่ดีจะมี 6 องค์ประกอบสำคัญ คือ
1. ความชัดเจนและโปร่งใส
ความไม่รู้คือเชื้อเพลิงของความกลัว ยิ่งผู้คนไม่เข้าใจสถานการณ์ พวกเขาจะยิ่งตีความผิดและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ผู้นำที่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดช่องว่างนั้น
ความโปร่งใสยังหมายถึงการยอมรับข้อจำกัดของสถานการณ์ เช่น ยอมรับว่า “เรายังไม่รู้คำตอบ” หรือ “ยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม” การไม่ปกปิดความจริง จะสร้างความไว้วางใจมากกว่าการพยายามปลอบประโลมแบบเลี่ยงบาลี
2. ความเข้าอกเข้าใจและภาวะผู้นำทางอารมณ์
ในช่วงที่ผู้คนต้องเผชิญกับความสูญเสีย ความไม่แน่นอน หรือแม้แต่ความโกรธ ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการแสดงออกถึงความเข้าใจในความรู้สึกเหล่านั้น ไม่ใช่แค่พูดในเชิงเทคนิคหรือข้อมูล แต่รวมถึงการสื่อสารที่สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ ความเห็นใจ และความตั้งใจที่จะอยู่เคียงข้าง
การแสดงออกถึงความเข้าใจเช่นนี้ ไม่เพียงลดระยะห่างระหว่างผู้นำกับประชาชน แต่ยังช่วยให้คำแนะนำหรือคำสั่งต่างๆ ถูกยอมรับได้ง่ายขึ้น
3. ความรวดเร็วในการตอบสนอง
ความล่าช้าในการสื่อสารสามารถทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แม้ยังไม่มีข้อมูลครบถ้วน การออกมาพูดว่า “เราทราบเหตุการณ์แล้ว และกำลังดำเนินการ” ก็มีผลทางจิตวิทยามากพอที่จะลดความตื่นตระหนกและสร้างความรู้สึกว่ามีคนรับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง
การสื่อสารในระยะต่อเนื่องหลังจากนั้น ต้องมีความสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาระหว่างการอัปเดตข้อมูลยาวนานเกินไป จนผู้คนหันไปหาข่าวลือแทนความจริง
4. ความน่าเชื่อถือจากการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ
ผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกเรื่อง แต่ควรเป็นผู้ที่รู้ว่าควรให้ใครเป็นคนพูดในเรื่องไหน การเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข หรือเทคนิค มาอธิบายข้อมูลสำคัญ จะช่วยให้การสื่อสารมีน้ำหนัก และลดข้อกังขาจากสังคม
สิ่งสำคัญคือผู้นำควร “ประสานเสียง” กับผู้เชี่ยวชาญ และไม่ส่งข้อความที่ขัดแย้งกันเอง เพราะความสอดคล้องของข้อมูลเป็นกุญแจในการรักษาความไว้วางใจของประชาชน
5. การใช้ช่องทางสื่อสารอย่างหลากหลาย
ในยุคที่ข้อมูลกระจายผ่านทั้งสื่อดั้งเดิมและโซเชียลมีเดีย การใช้ช่องทางสื่อสารเพียงทางเดียวอาจไม่เพียงพอ ผู้นำควรมีแผนการสื่อสารที่ครอบคลุม ทั้งการแถลงข่าว เว็บไซต์ทางการ ข้อความทางแอพแชท ไปจนถึงโซเชียลมีเดียที่สามารถตอบสนองแบบเรียลไทม์ได้
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการ “ติดตาม” และ “ตอบสนอง” ต่อการรับรู้ของทีมงาน โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวลือหรือความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ผู้นำต้องสามารถเข้ามาแก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
6. การออกแบบข้อความให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
ทีมงานแต่ละคนล้วนมีความต้องการข้อมูลที่แตกต่างกัน ผู้นำควรแยกแยะกลุ่มเป้าหมายและสื่อสารให้เหมาะสมในแต่ละบริบท ทั้งในแง่ภาษา ความละเอียด และวิธีการอธิบาย
ในบางกรณี การใช้ภาพ แผนที่ หรืออินโฟกราฟิกจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายกว่าข้อความยาวๆ โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้คนมีภาวะเครียดและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลลดลง
ผู้นำในภาวะปกติอาจถูกวัดจากวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ แต่ผู้นำในภาวะวิกฤตถูกวัดจาก “ความไว้วางใจ” ที่เขาสามารถรักษาไว้ได้ภายใต้แรงกดดัน
การสื่อสารจึงไม่ใช่เรื่องรองจากการตัดสินใจ แต่เป็นแกนหลักของการนำพาองค์กรหรือสังคมผ่านพ้นวิกฤต เพราะในช่วงเวลาที่ผู้คนรู้สึกว่า “ไม่รู้จะเชื่อใคร” การที่ผู้นำพูดได้อย่างชัดเจน จริงใจ และมีจุดยืนที่มั่นคง นั่นคือคำตอบที่สังคมต้องการมากที่สุด
Comments